วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

10 โรคประหลาด ที่ไม่น่าเป็นที่สุดในโลก


10 โรคประหลาด ที่ไม่น่าเป็นที่สุดในโลก




          1 .โรคค็อดทาร์ดหรือโรคศพเดิน (Walking Corpse Syndrome)           เป็นหนึ่งในโรคทางจิต ตั้งชื่อตามนายแพทย์จูลส์ ค็อดทาร์ด แพทย์ด้านสมองชาวฝรั่งเศส ที่พบว่าผู้ป่วยคนหนึ่งของเขาเป็นโรคนี้ นายแพทย์ค็อดทาร์ดกล่าวถึงผู้ป่วยที่เขารักษาว่า "เธอไม่เชื่อว่าเธอมีอวัยวะ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องกินอาหาร" 

          ผู้ป่วยมีความเชื่อว่าสูญเสียอวัยวะสำคัญ แม้กระทั่งสูญเสียวิญญาณ ผู้ที่เป็นมากๆ จะเชื่อว่าตนตายไปแล้ว ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเน่าจากเนื้อของตัวเอง รู้สึกว่าเหมือนหนอนกำลังกัดกินเนื้อ บางคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีกระเพาะ จึงไม่กินอาหาร เป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคเสพยาบ้า โคเคน มากเกินไป และอาจเกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน 

           2. โรคแวมไพร์ซินโดรม 

          ได้ชื่อว่าแวมไพร์ต้องนึกถึงผีค้างคาวดูดเลือด ที่ออกอาละวาดในยามราตรี แต่กลัวแสงสว่างเป็นที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้ก็เช่นกัน คือกลัวแสงสว่าง เพราะเมื่อถูกแสงแดดแล้วจะเจ็บปวดอย่างมหาศาล ผิวแห้งแตกเป็นขุย มีรอยไหม้ 

           3. โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน (Jumping Frenchman of Maine Disorder)

          เป็นโรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด อธิบายไว้เป็นคนแรก เมื่อค.ศ.1878 คาดว่าผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ผู้ป่วยจะเกิดอาการเมื่อถูกกระตุ้น เช่น ถ้าตะโกนดังๆ ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น มีผู้ตะโกนว่า "ตบหน้าเมีย" ก็จะกระโดดเข้าไปตบหน้าภรรยาของตนเองทันที หรือถ้าได้ยินประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ 

           4. โรคเส้นบลาชโค (Blaschko"s lines) 

          ผู้เป็นโรคจะลายริ้วๆ ไปทั้งตัว นับเป็นโรคหายากอีกโรคหนึ่ง ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักกายวิภาค ผู้ที่กล่าวถึงโรคนี้เป็นครั้งแรกคือนายแพทย์อัลเฟรด บลาชโค แพทย์ด้านผิวหนังชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงอาการของผู้เป็นโรคเมื่อค.ศ.1901 บริเวณกระดูกสันหลังจะเป็นเส้นรูปตัว V บริเวณหน้าอก ท้อง และข้างลำตัวจะเป็นเส้นรูปตัว S  

           5. โรคพิคา หรือโรคที่กินวัตถุที่ไม่สามารถบริโภคได้ 
          ผู้ที่เป็นโรคจะมีความอยากกินวัตถุที่ไม่ใช่อาหารมาก เช่น ดิน กระดาษ กาว โคลน ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีวิธีรักษา แต่เป็นไปได้ว่าร่างกายขาดแร่ธาตุบางอย่าง 

           6. โรคอลิซในแดนมหัศจรรย์ หรือ "ไมครอพเซีย" 

          เกิดจากความผิดปกติของสมอง ที่แปรสัญญาณไปยังสายตาผู้ป่วยให้มองทุกอย่างเล็กจากความเป็นจริง ทั้งที่สายตาของผู้ป่วยไม่มีความผิดปกติใดๆ เช่น มองสุนัขที่เลี้ยงไว้ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่าหนู รถยนต์คันใหญ่ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่ากับรถเด็กเล่น 

           7. โรคบลูสกิน หรือ "โรคผิวสีน้ำเงิน" 

          ผู้เป็นโรคจะมีร่างกายเป็นสีน้ำเงิน ที่สหรัฐเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ครอบครัวของนายมาร์ติน ฟูเกต เด็กกำพร้าชาวฝรั่งเศส และเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณลำธารทร็อบเบิ้ลซัมครีก รัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อค.ศ.1820 เป็นโรคนี้กันอย่างถ้วนหน้า เริ่มจากที่นายฟูเกตเองที่เป็นโรคอยู่แล้ว เมื่อเขาสมรสกับหญิงปกติ ลูก 4 ใน 7 คนเป็นโรคสีน้ำเงินเหมือนพ่อ ลูกหลานที่มาจากเชื้อสายนี้อีก 6 ชั่วคนยังเป็นโรคนี้ด้วย โดยหนูน้อยเบนจามิน สเตซี่ ที่มีเชื้อสายฟูเกต เป็นคนในตระกูลล่าสุดที่เป็นโรค โชคดีที่เด็กชายไม่เป็นมาก เพียงไม่นานหลังจากเกิดก็หาย ปัจจุบันเด็กชายอายุ 8 ขวบ 

           8. โรคเวอร์วูล์ฟซินโดรม 

          ผู้ป่วยจะมีขนยาวรุงรังตามหน้าตา แขนขา ทุกส่วนของร่างกาย คาดว่าปัจจุบันมีผู้เป็นโรคประมาณ 50 คนจากทั่วโลก เช่น เด็กชายปรัชวิราช พาทิล ชาวอินเดีย ที่ต้องเจ็บปวดจากการล้อเลียนของเพื่อนๆ และสังคม ซึ่งครอบครัวพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ทั้งใช้เลเซอร์แบบแพทย์แผนปัจจุบัน ไปจนถึงการรักษาแบบทางเลือก อายุรเวช 

           9. โรคมือเท้าช้างหรือ "เอเลแฟนต์เทียซิส" 

          เป็นโรคที่พบเห็นกันค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มียุง เนื่องจากยุงเป็นพาหะของโรค โดยจะแพร่หนอนปรสิตวูชีเรเรียแบนครอฟตี หนอนปรสิตบรูเจียมาลายี หนอนปรสิตบี.ทิโมลี มายังคน ทำให้ไข่ของหนอนปรสิตเข้ามาในกระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย มันอาจใช้เวลาฟักตัวนานหลายปี 

          ที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนระบุว่า โรคมือเท้าช้างเป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค อาการที่เห็นได้ชัดคือ ขา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง 

          โรคเท้าช้างในประเทศไทยมี 2 ชนิด
          - ชนิดแรกเกิดจากเชื้อบรูเจียมาลายี มักมีอาการแขนขาโต พบมากในบริเวณที่ราบทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาส โดยมี "ยุงลายเสือ" เป็นพาหะ ยุงชนิดนี้กัดกินเลือดของสัตว์และคน ชอบออกหากินเวลากลางคืน มีแหล่งเพาะพันธุ์ตามแอ่งหรือหนองน้ำที่มีวัชพืชและพืชน้ำต่างๆ เช่น จอก ผักตบชวา แพงพวยน้ำ หรือหญ้าปล้อง  

          - ชนิดที่สองเกิดจากเชื้อวูชีเรเรียแบนครอฟตี มักทำให้เกิดอาการบวมโตของอวัยวะสืบพันธุ์และแขนขา พบมากในบริเวณภาคตะวันตกของประเทศไทย เช่น ที่อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อำเภอละอุ่น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เป็นต้น ยุงพาหะนำโรคเท้าช้างชนิดนี้ได้แก่ "ยุงลายป่า" เพาะพันธุ์ตามป่าไผ่ ในโพรงไม้ และกระบอกไม้ไผ่ ปัจจุบันพบว่าเชื้อโรคเท้าช้างชนิดวูชีเรเรียแบนครอฟตี สายพันธุ์ที่นำเข้าโดยผู้อพยพจากชายแดนไทย-พม่า มียุงพาหะหลายชนิดรวมทั้งยุงรำคาญ ซึ่งเป็นยุงบ้านที่พบได้ทั่วไป  

          คนที่มีอาการมักจะเกิดจากการที่ถูกยุงที่มีเชื้อพยาธิเท้าช้างกัดซ้ำหลายครั้ง อาการในระยะแรก ผู้ป่วยอาจมีไข้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรืออัณฑะ เนื่องจากพยาธิตัวแก่ที่อยู่ในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อภายใน รวมทั้งมีการปล่อยสารพิษออกมาด้วย อาการอักเสบจะเป็นๆ หายๆ อยู่เช่นนี้ และจะกระตุ้นให้เกิดอาการบวมขึ้น หากเป็นนานหลายปีจะทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวรและผิวหนังหนาแข็งขึ้นจนมีลักษณะขรุขระ 

           10. โรคโพรจีเรีย หรือ "โรคแก่ก่อนวัยอันควร" 
          เป็นโรคที่เกิดจากรหัสทางพันธุกรรมตัวหนึ่งบกพร่อง ทำให้ผู้ป่วยมีรูปร่างหน้าตาแก่กว่าอายุจริงมาก ส่วนใหญ่แล้วเด็กจะอายุสั้น คือไม่เกิน 13 ปี มักเสียชีวิตจากสาเหตุหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย อาการของผู้เป็นโรคคือ หัวล้าน กระดูกบาง มีรูปร่างเตี้ยแคระ มักเจ็บปวดตามข้อ แต่เมื่อแรกเกิดแล้วจะดูเหมือนกับเด็กปกติ

อ้างอิง
http://hilight.kapook.com/view/30104

โฉมหน้า 10 อันดับ อัจฉริยะที่มีไอคิวสูงสุดในโลก


โฉมหน้า 10 อันดับ อัจฉริยะที่มีไอคิวสูงสุดในโลก



สตีเฟน ฮอว์คิง

 1. สตีเฟน ฮอว์คิง วัย 70 ปี (IQ: 160)

          สตีเฟน ฮอว์คิง นักฟิสิกส์ทฤษฎีและนักจักรวาลวิทยา ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ฮอว์คิงเป็นโรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อมถอย หรือที่เรียกว่า ALS อันเป็นอาการผิดปกติของระบบประสาทโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลงจนเกือบเป็นอัมพาต แต่เขายังคงทำงานวิชาการต่อไป จนกระทั่งมีชื่อเสียงจากการถอดรหัสความลึกลับของจักรวาล จากบทความวิจัยเกี่ยวกับฟิสิกส์ของเวลา โดยเขาได้ทำนายว่าเวลาน่าจะมีจุดเริ่มต้นที่บิ๊กแบง (หรือจุดกำเนิดของเอกภพ) และมีจุดจบที่ใจกลางของหลุมดำ อีกทั้งยังมีผลงานหนังสือ ประวัติย่อของกาลเวลา (A Brief History of Time) และจักรวาลในเปลือกนัท (The Universe in a Nutshell) ซึ่งอยู่ในรายการขายดีที่สุดของบริติชซันเดย์ไทมส์ทำลายสถิตินานถึง 237 สัปดาห์

คิม อึง ยอง

 2. คิม อึง ยอง วัย 50 ปี (IQ: 210)

          คิม อึง ยอง อาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก การันตีโดยกินเนสส์บุ๊คเลยก็ว่าได้ เพราะคิมสามารถอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ และเมื่อถึงวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคูลัสที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี นอกจากนี้ คิมยังเป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3-6 ขวบ จนกระทั่งอายุ 7 ขวบ นาซาได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยโคโรลาโด พร้อมกับเริ่มทำงานวิจัยที่นาซาไปด้วย ในปี 1974 (พ.ศ. 2517) จนได้ปริญญาเอกด้านฟิสิกส์ ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 ปีเสียอีก


พอล อัลเลน

 3. พอล อัลเลน วัย 59 ปี (IQ: 170)

          พอล อัลเลน เป็นคู่หูผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ร่วมกับ บิล เกตส์ เขายังเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดลำดับที่ 48 ตามการจัดอันดับความมั่งคั่งที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 14.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ...ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและเป็นประธานของ วัลแคน อิงค์ มีพอร์ตการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ ที่รวมถึงบริษัทเอฟรีและกิสต์ นอกจากนี้ พอล อัลเลน ยังเป็นเจ้าของสองทีมกีฬาอาชีพ ซึ่งได้แก่ ซีแอตเทิล ซีฮอว์ค ของเอ็นเอฟแอล (NFL) และพอร์ตแลนด์ เทรลเบลเซอร์ส ของเอ็นบีเอ (NBA) และที่สำคัญแม้จะเห็นได้ว่าเขามีรายได้มากมายมหาศาล แต่เขาก็เป็นนักการกุศลชาวอเมริกันตัวยงคนหนึ่งเช่นกัน

ริค รอสเนอร์

 4. ริค รอสเนอร์ วัย 52 ปี (IQ: 192)

          ริชาร์ด จี รอสเนอร์ หรือ ริค รอสเนอร์ ผู้เขียนบทโทรทัศน์ ทำงานกับ จิมมี่ คิมเมล แต่ดูเหมือนว่าเขาคนนี้จะเป็นอัจฉริยะที่แปลกกว่าพวกเสียหน่อย เพราะในความจริงแล้วเมื่อพลิกดูประวัติการทำงานของเขา ก็พบว่า ริค เคยเป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้า พนักงานเสิร์ฟติดล้อ เป็นยาม แล้วก็ยังเป็นนายแบบนู้ดอีกด้วยนะ 


แกรี่ คาสปารอฟ

 5. แกรี่ คาสปารอฟ วัย 49 ปี (IQ: 190)

          แกรี่ คาสปารอฟ ชาวรัสเซีย เชื้อสายยิว-อาร์เมเนีย เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักหมากรุกสากลที่เก่งที่สุดในโลกตั้งแต่เคยมีเกมนี้มา แกรี่ คาสปารอฟ ครองแชมป์โลกหมากรุกสากลในปี พ.ศ. 2528 - 2543 ก่อนจะประกาศอำลาวงการหมากรุกสากลอย่างเป็นทางการและผันตัวเองไปเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองในปี พ.ศ. 2548 เขามีสไตล์การเล่นหมากรุกที่เน้นไปในทางการใช้กลยุทธ์ที่แยบยล พิสดาร และลึกล้ำเป็นหลัก ปัจจุบัน แกรี่ คาสปารอฟ เขียนตำราและบทวิเคราะห์ทางหมากรุกสากลไว้หลายเล่ม ซึ่งล้วนทรงคุณค่ามหาศาลต่อวงการหมากรุกและศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เช่น การออกแบบปัญญาประดิษฐ์

เซอร์ แอนดรูว์ วิลลิส

 6. เซอร์ แอนดรูว์ วิลลิส วัย 59 ปี (IQ: 170)

          เซอร์ แอนดรูว์ วิลลิส นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ สามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ยากที่สุดในโลกได้ นั่นคือ ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มาต์ (Fermat's Last Theorem) ซึ่งเป็นทฤษฎีบทที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ของคณิตศาสตร์ ตลอดระยะเวลา 358 ปี ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ถูกต้องเลย


จูดิต โพลการ์

 7. จูดิต โพลการ์ วัย 35 ปี (IQ: 170)

          จูดิต โพลการ์ หญิงสาวผู้ซึ่งเป็นยอดฝีมือหมากรุกฝ่ายหญิง จากการอบรมฝึกฝนจากพ่อในการเล่นหมากรุกตั้งแต่วัยเยาว์ ในที่สุดเธอก็สามารถเอาชนะพ่อได้ตั้งแต่อยู่ในวัยเพียง 5 ขวบเท่านั้น และที่ยิ่งไปกว่านั้น จูดิต โพลการ์ ยังสามารถเอาชนะได้ถึงระดับแกรนด์มาสเตอร์ ตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี ทำลายสถิติโลกเดิมที่ผู้ชายทำไว้ก่อนหน้าลงอย่างราบคาบ

คริสโตเฟอร์ ฮิราตะ

 8. คริสโตเฟอร์ ฮิราตะ วัย 30 ปี (IQ: 225)

          คริสโตเฟอร์ ฮิราตะ เป็นอีกหนึ่งหนุ่มผู้มีไอคิวสูงเป็นเลิศ เขาได้เข้าเรียนที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย หรือ แคลเทค ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแถวหน้าในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่อายุ 14 ปี หลังจากนั้น ขณะที่เขาอายุ 16 ปี เขายังได้ร่วมบุกเบิกดาวอังคารร่วมกับองค์การนาซา ก่อนที่จะได้รับปริญญาเอกสาขาดาราศาสตร์ฟิสิกส์เมื่ออายุ 22 ปี


เทเรนเซ เถา

 9. เทอเรนซ์ เต๋า วัย 36 ปี (IQ: 230)

          เทอเรนซ์ เต๋า เดิมเป็นชาวออสเตรเลีย (ต่อมาได้รับสัญชาติอเมริกันอีกสัญชาติหนึ่ง) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เมื่ออายุ 20 ปี และได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ที่ภาควิชาคณิตศาสตร์ที่ UCLA เมื่ออายุเพียง 24 ปี ทำให้เขาเป็นผู้มีอายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ของสถาบันดังกล่าว ทั้งนี้เขายังได้แสดงอัจฉริยภาพอันน่าทึ่งมาตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น เป็นผู้อายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับเหรียญทองในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ เมื่ออายุ 13 ปี

เจมส์ วู้ดส์

 10. เจมส์ วู้ดส์ วัย 65 ปี (IQ: 180)

          เจมส์ วู้ดส์ สามารถทำข้อสอบ SAT เป็นข้อสอบมาตรฐานสำหรับการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา ในส่วนของข้อสอบการใช้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ได้ 779 คะแนน และ Verbal 800 คะแนน หลังจากนั้นเขาก็ได้เข้ามาเป็นครูสอนวิชาพีชคณิต ที่ UCLA ในขณะที่กำลังเรียนไฮสคูลอยู่

อ้างอิง
http://hilight.kapook.com/view/75800

CNN จัดอันดับ 10 ตึกน่าเกลียดที่สุดในโลก


CNN จัดอันดับ 10 ตึกน่าเกลียดที่สุดในโลก




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก asianinfo.org , unusual-architecture.com , tqn.com , iprague.orgmedia-1.web.britannica.com , travelcambodiavietnam.com , jonathan.rawle.org ,onfocus.com , english.cri.cn และ travelgrove.com
          ยังคงจัดอันดับในเรื่องราวมากมายที่มีอยู่ทั่วโลกมาให้ได้ทราบ ๆ กัน สำหรับเว็บไซต์cnngo.com ที่จัดอันดับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั่วโลก มาคราวนี้พวกเขาได้จัดอันดับว่าด้วยเรื่องของ 10 อาคารเด่น ๆ ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ที่มีการดีไซน์ค่อนข้างจะออกไปทางน่าเกลียดมากกว่าน่าชมเชย โดยทั้ง 10 อาคารที่หน้าตาน่าเกลียดที่ทาง "CNN" จัดอันดับไว้ ประกอบไปด้วย.. 


 1. โรงแรมรุกยอง - เกาหลีเหนือ (Ryugyong Hotel, North Korea)

          นี่คือโรงแรมที่ตั้งตระหง่านอยู่ในกรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ แรกเริ่มเดิมทีควรจะสร้างเสร็จไปตั้งแต่เมื่อช่วงปี 1990 แล้ว แต่ทว่ากลับมีการชะงักการก่อสร้างเพราะวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงนั้นไปซะก่อน จนกระทั่งมาเมื่อปี 2008 โรงแรมแห่งนี้ก็ได้รับการสร้างต่อจนเสร็จ เพื่อให้ทันกับการฉลองครบรอบวันเกิด 100 ปีของ "คิม อิลซุง" อดีตผู้นำคนแรกของเกาหลีเหนือ ทั้งนี้ โรงแรมรุกยองมีความสูงทั้งหมด 330 เมตร ด้วยรูปทรงแบบสามเหลี่ยมและส่วนปลายที่เป็นแบบปิระมิด เลยทำให้ทาง CNN มองว่านี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่ดูจะไม่เข้ากันกับความเป็นโรงแรมสักเท่าไหร่นัก


 2. โรงแรมแอตแลนติส - สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Atlantis Hotel, United Arab Emirates)

          นี่คือโรงแรมที่มีความอลังการไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบมหานครแอตแลนติสโบราณในตำนาน มีร้านอาหารและบาร์มากมายหลายต่อหลายร้าน แถมยังมี "Aquariamlost Chambers" อควาเรี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งมีสัตว์น้ำนานาพันธุ์อาศัยอยู่อีกด้วย อีกทั้งยังมีสวนน้ำขนาดใหญ่ไว้ให้เล่นกันอีกต่างหาก แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ดีไซน์ดีแบบนี้ ก็ใช่ว่าจะมีคนชอบเหมือนกันไปซะทั้งหมด เพราะนี่ก็คืออีกหนึ่งสถานที่ซึ่ง CNN มองว่าไม่เวิร์คสำหรับพวกเขา


 3. อาคารรัฐสภาของประเทศโรมาเนีย (Palace of the Parliament, Romania)

          นี่คืออาคารรัฐสภาหรือทำเนียบประธานาธิบดีของโรมาเนียที่มีความใหญ่โต กว้างขวาง เป็นอันดับที่ 2 ของโลกต่อจากอาคารเพนตากอนในสหรัฐฯ ที่นี่มีห้องหับอยู่มากกว่า 1,100 ห้อง ใช้เวลาสร้างนานถึง 5 ปี และมีความสูงเท่ากับตึก 12 ชั้นเลยด้วย นอกจากนั้นแล้วยังมีการตกแต่งตัวอาคารด้วยเสาหินอ่อน ไม้แกะสลัก โคมไฟแชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่ รวมถึงรูปภาพของจิตรกรดัง ๆ ของโรมาเนียอีกเพียบ


 4. หอส่งสัญญาณโทรทัศน์ Zizkov สาธารณรัฐเช็ก (Zizkov Television Tower, Czech Republic)

          ถ้าจะถามว่าอาคารนี่มีความน่าเกลียดตรงไหน ก็คงจะเป็นประติมากรรมที่เป็นรูปคนที่กำลังปีนป่ายอยู่บนเสาของหอส่งสัญญาณโทรทัศน์นี่ล่ะ เพราะด้วยรูปร่างที่เป็นคน แต่ส่วนหัวเป็นทรงเหลี่ยม ๆ แบบโทรทัศน์ก็เป็นอะไรที่ดูจะขัด ๆ กันอยู่สักหน่อย แต่ก็อย่ากระนั้นเลย นี่คือหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าจะต้องเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของโทรทัศน์ ฉะนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรมากมาย ที่ดีไซน์ของอาคารแห่งนี้จะมีรูปร่างหน้าตาแบบนี้นั่นเอง


 5. อาคาร Experience Music Project - สหรัฐอเมริกา (Experience Music Project, United States)

          ถ้า CNN บอกว่านี่คือหนึ่งในอาคารที่น่าเกลียดที่สุดในโลก เราก็ขอค้านว่านี่เป็นอาคารที่มีดีไซน์แปลก แหวกแนว และนอกกรอบความคิดมากกว่า อาคาร Experience Music Project ก่อตั้งโดย "พอล อัลเลน" ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยคนหนึ่งของโลก เป็นสถานที่ซึ่งแสดงความรู้ด้านดนตรีตั้งแต่สมัยวง "The Beatles" และดนตรีร็อกในยุคสมัยต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมของทุกอย่างที่เกี่ยวข้องการวงการดนตรี ทั้งเรื่องของเวทีการแสดง ห้องอัดเสียง และอื่น ๆ ที่มีดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องอีกมากมาย


 6. พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม (Ho Chi Minh Mausoleum, Vietnam)

          ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึง "โฮจิมินห์" อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีของเวียดนาม ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นเอกราชของชาวเวียดนาม โดยภายในจะมีการจัดแสดงนิทรรศการที่บอกถึงความเป็นมาของระบบคอมมิวนิสต์และประวัติศาสตร์ทางการเมืองของประเทศเวียดนาม


 7. โบสถ์เมืองลิเวอร์พูล - อังกฤษ (Metropolitan Cathedral, England)    

          ภายนอกของโบสถ์แห่งนี้ แม้จะดูเรียบ ๆ และค่อนข้างแปลกตาไปซะหน่อย แต่ถ้าได้ลองเข้าไปดูภายในแล้ว ก็จะรู้ได้เลยว่า มีความอลังการที่ชวน งง ๆ อยู่ไม่น้อย เนื่องจากภายในมีการตกแต่งด้วยไฟนีออนที่ไม่ค่อยจะเห็นกันนักตามโบสถ์ในที่อื่น ๆ ขณะที่บนส่วนของหลังโปร่ง ๆ ที่เป็นเหมือนกระโจมสูงขึ้นไปนั้น ก็จะมีแผ่นโมเสคที่มีภาพของพระเยซูรวมอยู่ด้วย


 8. อาคารพอร์ตแลนด์ - สหรัฐอเมริกา (The Portland Building, United States)

          CNN บอกว่า นี่เป็นอาคารที่ดูค่อนข้างจะจืดชืดเกินไปสักหน่อย เพราะด้วยดีไซน์ที่ดูไม่สวยงาม แถมยังมีบานกระจกเล็ก ๆ อยู่มากเกินไปด้วยนั้น ยิ่งทำให้อาคารนี้ดูเป็นอาคารที่มีแต่ความน่าเบื่อเป็นที่สุด นอกจากนั้นแล้ว ในเรื่องของโทนสีของตัวอาคารก็ดูไม่เข้ากันอย่างบอกไม่ถูกอีกด้วย ฉะนั้นแล้ว การที่ CNN จัดให้อาคารนี้มีความน่าเกลียดอยู่หน่อย ๆ ก็ดูจะเป็นอะไรที่น่าเห็นด้วยอยู่ไม่น้อย


 9. อาคารฟางหยวน ประเทศจีน (The Fang Yuan Building, China)

          จะว่าไป นี่ก็คงจะเป็นไอเดียที่น่ายกย่อง หรือเป็นไอเดียที่ไม่ค่อยจะมีใครนึกถึงกันก็ว่าได้ สำหรับอาคารฟางหยวนแห่งนี้ ที่ได้ยึดเอาเหรียญเงินของจีนแบบโบราณ มาเป็นสัญลักษณ์ของตัวอาคารที่โดดเด่น มองเห็นแต่ไกลชัดเจน หลายคนอาจชื่นชมกับไอเดียแหวกแนว แต่หลายคนก็อาจจะส่ายหน้าและยกให้เป็นหนึ่งในตึกที่น่าเกลียดที่สุดเหมือนอย่างที่ CNN ว่าไว้ก็ได้


 10. อาคารสำนักงานใหญ่เปรโตรบราส - บราซิล (Petrobras Headquarters, Brazil)

          ด้วยสีสันของตึกที่เป็นโทนสีดำและสีเทา ดูอึมครึม ๆ  ประกอบการการดีไซน์ที่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมซ้อน ๆ กันไปมา เลยทำให้ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ ว่าทำไม CNN ถึงพาอาคารสำนักงานใหญ่ "เปรโตรบราส" บริษัทน้ำมันและแก๊สธรรมชาติของบราซิล มาอยู่ในการจัดอันดับครั้งนี้ด้วย นี่ถ้าลองเป็นสีสันโทนอื่น ๆ ที่ดูสดใสกว่านี้ ก็น่าจะช่วยให้บรรยากาศของอาคารดูน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย


อ้างอิง
http://hilight.kapook.com/view/66656